ไฟไหม้ 10 ครั้ง ยังไม่เท่าเสียพนันครั้งเดียว” ยังเป็นสัจธรรมที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
ไฟไหม้ 10 ครั้ง ยังไม่เท่าเสียพนันครั้งเดียว” ยังเป็นสัจธรรมที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย เพราะไฟไหม้อย่างมากก็แค่หมดเนื้อหมดตัว แต่ยังมีที่ดินเหลืออยู่ ทว่า ถ้าติดหนี้พนันและถูก “ผีพนัน” เข้าครอบงำจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว แม้แต่ที่ดิน หรือแม้กระทั่ง “ชีวิต” ของตนก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้
ดังเช่นอุทาหรณ์ชีวิตของ “นักธุรกิจร้อยล้าน” รายหนึ่ง ซึ่งยินดีเปลือยชีวิตให้ทีมข่าว “คม ชัด ลึก” เพื่อให้เตือนสติผู้คนไม่ให้หลงเดินทางผิดเช่นเขาอีก !?!?
นักธุรกิจรายนี้ ลำดับเส้นทางชีวิตว่า เขาเป็นคนต่างจังหวัด แต่ดิ้นรนสู้ชีวิตจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นเจ้าของธุรกิจมูลค่าหลายร้อยล้านบาท มีทรัพย์ศฤงคารมหาศาล และไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการพนันแม้แต่ครั้งเดียว
แต่แล้วชีวิตของเขาก็เดินมาถึง “จุดหักเห” เมื่อได้รู้จักกับ “นักการเมือง” คนหนึ่ง ซึ่งยังอยู่ในสภาชุดปัจจุบัน เอ่ยชื่อไปมีคนรู้จักทั้งประเทศ โดยนักการเมืองคนนี้ชวนไปเล่นพนันที่ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ตอนแรกไม่ได้เล่นเอง เป็นเพียงหุ้นส่วน และลงขันครั้งหนึ่งแค่หลักล้านต้นๆ แต่กลับได้กำไรครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท จึง “เริ่มติดใจ” เพราะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ จากนั้นจึงเริ่ม “เล่นเอง”
“ผมไปเล่นในระดับวีไอพี พกเงินไปแต่ละครั้งหลายสิบล้านบาท แต่ละครั้งพอลงรถเท้าก็แทบจะไม่ถึงพื้นเลย เพราะจะมีเด็กมาต้อนรับไปส่งถึงที่ ส่วนนักการเมืองคนนั้นก็ยังเป็นหุ้นส่วน โดยให้ครั้งละ 10 ล้านบาท การเล่นของผมถือเป็นการลงทุน พอใช้ 500,000-1,000,000 บาท ก็หยุดเล่น บางครั้งเคยได้สูงถึง 40 ล้าน แต่พอเริ่มเล่นเสีย นักการเมืองคนนั้นกลับไม่ยอมเสียด้วย ผมเสียเท่าไรไม่เกี่ยว แต่เขาต้องเอาเงินคืน พอผมไม่มีให้ก็มายึดรถของผมไปขาย”
เมื่อเริ่มเล่นเสียจนติดหนี้ “หลายสิบล้านบาท” ก็เริ่มเข้าไปเล่นในบ่อนชายแดนไม่ได้ และยังถูกตามทวงหนี้ทางโทรศัพท์ และส่งคนมาทวงบ้าง แต่ไม่หนักหนา เพราะฝั่งโน้นคงคิดว่าได้เงินจากเขาไปเยอะแล้ว
ถึงตอนนี้ชีวิตของเขาเริ่มมีปัญหามากขึ้น โดยเมียขอแยกทาง และเอารถเบนซ์ไปคันหนึ่ง ส่วนลูกๆ ก็ยังอยู่กับเขา แต่ก็แทบจะไม่เหลือสภาพความเป็นครอบครัว ส่วนรถที่มีอยู่ก็ต้องเอาไปขายหรือจำนำเพื่อให้หาเงินไปเล่นและใช้หนี้ แต่ธุรกิจก็ยังคงหาเงินได้ทำให้ยังไม่ถึงกับล้มละลาย
เมื่อเข้าไปเล่นในบ่อนชายแดนไม่ได้ จึงเริ่ม “เดินสาย” ตระเวนเล่นตามบ่อนในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย และบ่อนในประเทศ เช่น บ่อนประตูน้ำ เตาปูน เอกมัย และบ่อนใน จ.เชียงราย เล่นได้บ้างแทง้าง แต่ส่วนใหญ่จะเสีย โดยบ่อนกลุ่มนี้ก็จะมีคนตามทวงหนี้ทางโทรศัพท์ และใช้ “คนมีสี” มาข่มขู่ว่าจะจ่ายดีๆ หรือจะให้ทำอย่างอื่น ก็ให้ไปเท่าที่มี ส่วนที่เหลือก็ผัดผ่อนไป และเริ่มมีความเครียดเพิ่มขึ้น
นักเล่นคนเดิม บอกว่า บ่อนในประเทศคนที่จะเข้าไปเล่นได้ต้องเป็นลูกค้าหน้าเก่าๆ ส่วนลูกค้าคนใหม่ต้องมีหน้าเก่าพาไปแนะนำ ถ้าเป็นตอนๆที่ตำรวจจับบ่อยๆ คนคุมที่อยู่หน้าบ่อนจะขอดูจำนวนเงินสดที่พกเข้าไปเลย บางครั้งถ้ามีเงินน้อยก็จะไม่ให้เข้า ส่วนคนที่เล่นเสียถ้าไม่เหลือเงินสดก็ต้องทิ้งทรัพย์สินมีค่า เช่น นาฬิกา สร้อยทอง โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ วางจำนำไว้ และต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ 10
สำหรับการ “ตีมูลค่า” ทรัพย์สินชอบไม่ถึงครึ่งของมูลค่าจริง ถ้าเป็นรถยุโรป เช่น เบนซ์ หรือบีเอ็มดับเบิลยู ก็จะได้ประมาณ 1 แสนบาท ถ้าเป็นรถญี่ปุ่นรุ่นท็อปๆ ก็จะได้ประมาณ 5-8 หมื่นบาท โดยทางบ่อนจะให้เวลา 1 เดือนมาไถ่ถอนคืน แต่ส่วนใหญ่ราว 90 เปอร์เซ็นต์ ชอบ “หลุด” เพราะเมื่อได้เงินทุนคืนและอยากได้กำไรต่อ แต่ส่วนใหญ่ก็ชอบเสียจนหมดตัว และน้อยคนที่สามารถไถ่ออกมาในวันเดียว
นักเล่นคนเดิม บอกว่า บ่อนเมืองไทยเปิดๆ ปิดๆ กันอยู่อย่างงี้ นักเล่นในแวดวงรู้ดี และจะวนกันเล่นไปทั่ว ถ้าเป็นระดับวีไอพีก็ต้องเช็คด้วยว่าตำรวจจะลงหรือเปล่า และถ้าบ่อนให้ความมั่นใจไม่ได้ก็จะไม่เข้าไปเล่น
“ถึงวันนี้ผมก็ยังเข้าบ่อนอยู่ แม้ว่ามันจะทำให้หมดตัวจากเศรษฐีร้อยล้านเปลี่ยนเป็นคนมีหนี้หลายสิบล้าน แต่ก็ต้องเข้า เพราะต้องการหาเงินใช้หนี้ และถึงจะรู้ว่ามันไม่ดี ผมก็ยังเลิกไม่ได้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่หลงเข้าไปในวังวนนี้ มันเหมือนกับสิ่งเสพติดที่เลิกยาก จนกระทั่งบางคนต้องจบชีวิตลง เพราะไม่อาจจะเลิกเล่นและใช้หนี้สินได้” นักเล่นผู้หลงเดินทางผิด กล่าวเตือนสติ